ถ้าหากพูดถึงการชมทะเลหมอกบนยอดดอย คงหนีไม่พ้น ยอดดอยอินทนนท์ ดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย ดอยอ่างขาง สัมผัสบรรยากาศทะเลหมอกสีขาวในหุบเขา หรือดอยเสมอดาว ที่ตอนเช้าชมทะเลหมอก ตอนกลางคืนนั่งนับดาว นอนกางเต็นท์บนผาหัวสิงห์ แต่ดอยที่ใครหลายคนอาจยังไม่รู้จัก นั่นคือ ดอยม่อนหมอกตะวัน ตั้งอยู่ที่ ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ทะเลหมอกบ้านป่าหวายวันนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับดอยแห่งนี้กัน
ประวัติความเป็นมา
ในอดีตม่อนหมอกตะวัน อยู่ในเขตการปกครองของหมู่บ้านป่าหวาย ซึ่งในอดีตดินแดนแห่งนี้เคยเป็นพื้นที่สีแดง ในยุคของคอมมิวนิสต์รุกรานเข้ามาสู่ประเทศไทย ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสานใต้ เกิดสงครามแย่งชิงประชาชน ด้วยพระบารมีเมตตาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเห็นความสำคัญในการรักษาประชาชน จึงเปิดยุทธศาสตร์ดึงคนเดินหลงผิดให้กลับมาพัฒนาชาติไทยกันใหม่ เพื่อไม่ต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้น
ชนเผ่าปะกากะยอ เป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่ปักหลักฐานสร้างที่มั่นในป่าเขามานาน จึงยอมสวามิภักดิ์ต่อราชการและได้รับสิทธิ์ปกครองดูแลถิ่นกำเนิดนี้เอาไว้ เมื่อการท่องเที่ยวเติบโต การพัฒนาท้องถิ่นให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ไร่ข้าวโพดและไร่มันสำปะหลัง บนยอดดอยม่อนหมอกตะวัน จึงถูกพัฒนาให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของอำเภอพบพระ ผนวกกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนเข้ามามีบทบาทต่อการท่องเที่ยวของที่นี่
ชาวเขาใช้พื้นที่เกษตรเปิดสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ “ม่อนหมอกตะวัน” อยู่ยอดดอยบ้านป่าหวาย โดยนายสุเมธ ศรีธีระวัฒน์ ผู้ใหญ่บ้านป่าหวาย หมู่ที่ 3 ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ได้ วางระบบ และระเบียบในการต้อนรับนักท่องเที่ยว เพื่อให้มีระบบการจัดการที่ถูกต้อง และเรียบร้อย เช่น สถานที่จอดรถยนต์ รถจักรยานยนต์ การทิ้งขยะ จัดการเส้นทางจราจร และบริหารจัดการพื้นที่ให้กับนักท่องเที่ยว โดยพิจารณาในด้านความปลอดภัย ความสะดวก และการรักษาสิ่งแวดล้อม เต็มไปด้วยทะเลหมอกที่สวยงามในช่วงเช้า ชมพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกยามเย็น สภาพอากาศมีลมพัดเย็นสบาย แต่ในฤดูหนาวจะหนาวเย็นมาก หรือ แม้แต่ปัจจุบัน ก็มีนักท่องเที่ยวในพื้นที่
และนักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดไปกางเต็นท์พักนอนค้างคืนกัน ซึ่งชาวเขาที่นี่ได้ช่วยกันพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ ด้วยสถานที่พัก การบริการเต็นท์ บริการอาหารเครื่องดื่ม อาทิเช่น หมูกระทะ ปลาเผา เป็นต้น
อีกจุดหมายปลายทาง สำหรับคนที่ชอบทะเลหมอก กับ สถานที่กางเต็นท์ดูทะเลหมอก แห่งใหม่ของอำเภอพบพระ ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1000 เมตรเลยทีเดียว
พื้นที่ม่อนหมอกตะวัน เป็นพื้นที่การเกษตร ของชาวเขาเผ่าม้ง ที่ใช้เลี้ยงชีพ ในการเพาะปลูกพืช เพื่อค้าขาขายและประกอบอาชีพ แต่เมื่อมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ทำให้ทางผู้ครอบครองยังไม่สามารถทำการเกษตรได้ จึงยอมให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมความสวยงามทางธรรมชาติ อากาศหนาวเย็นตลอดปี
ที่นี่เราจะได้ชมทะเลหมอก 2 เวลา ช่วงเย็น กับ ช่วงเช้า
บนม่อนหมอกตะวันแห่งนี้ มีลานกางเต็นท์ของชาวบ้าน ไว้บริการ มีห้องน้ำ ร้านค้าเล็ก ๆ ขึ้นมาบนนี้บอกเลยฟินกับทะเลหมอกแน่นอน ยิ่งช่วงนี้ชาวบ้านบอกมีทะเลหมอกให้ดูทุกวัน
ม่อนหมอกตะวัน มีพื้นที่ทั้งหมด 50 ไร่ แหล่งโอโซนแห่งใหม่ในจังหวัดตาก ม่อนหมอกตะวัน เป็นชื่อของยอดเขาบริเวณนี้ทั้งหมด ล้อมรอบด้วยภูเขาหลายลูกสลับกันไปมา สามารถชมวิวได้ 360 องศา สูดอากาศบริสุทธิ์ กับวิวทิวทัศน์อันสวยงามของภูเขาที่สลับซับซ้อนกัน ไม่แปลกใจเลยที่นักท่องเที่ยวแห่กันมารุม
แถมอากาศหนาวเย็นตลอดปี ดื่มด่ำความงามของหมอกได้อย่างเต็มที่ สัมผัสทะเลหมอกอันสวยงามของที่นี่ คงเป็นช่วงปลายพฤศจิกายนสู่เดือนธันวาและมกราคมของทุกปี
ม่อนหมอกตะวัน เริ่มเป็นที่รู้จักและแจ้งเกิดในวงการทะเลหมอก เพราะมีคนถ่ายภาพแชร์กัน ด้วยความสวยงามของวิวทะเลหมอก ทำให้นักท่องเที่ยวต่างแห่ขึ้นไป เพื่อชมทะเลหมอก จนเป็นที่รู้จัก ทำให้ชาวบ้านเริ่มทำที่พักแรมเกิดขึ้นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการค้างคืน
ภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมานานขอบชาวบ้านที่นี่ นั่นก็คือ การกินไก่ดำสมุนไพร กินเป็นประจำ ซึ่งเป็นเคล็ดลับของชาวบ้านบนม่อนภูหมอกตะวันแห่งนี้ ที่เชื่อว่าทำให้ปึ๋งปั๋ง มีลูกมีหลานกันเต็มเมือง กล่าวคือต้องใช้สมุนไพรมากมายหลายชนิด ซึ่งส่วนใหญ่มักจะปลูกอยู่บริเวณนั้น แต่ละชนิดจะมีสรรพคุณแตกต่างกันออกไป เรียกยากเพราะเป็นชื่อท้องถิ่นภาษาม้ง สมุนไพรของชาวบ้านที่นี่บางชนิดมีผลต่อสุภาพสตรี ที่ชาวบ้านเชื่อว่า กินบ่อย ๆ จะทำให้สุขภาพดี มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง เป็นเคล็ดลับของชาวม้งที่สุขภาพแข็งแรง
หน้าฝนจะมีทะเลหมอกโดยรอบ หน้าหนาวจะมีหมอกอยู่ทางแอ่งด้านตะวันออกเนื่องจากตรงนั้นมีน้ำตกป่าหวาย ถ้าอยู่บนม่อนจะได้ยินเสียงน้ำตกชัดเจน ชมทะเลหมอกที่สวยงามในช่วงเช้า ชมพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกยามเย็น ในช่วงกลางคืนนอนดูดาวบนม่อนตะวันสวยงามมาก สภาพอากาศมีลมพัดเย็นสบาย แต่ในฤดูหนาวจะหนาวเย็น
ทางองค์การบริหารส่วนตำบลได้พัฒนาเส้นทางการเดินทางเป็นถนนคอนกรีตขึ้นสู่ยอดดอย ด้วยระยะทางจากหมู่บ้านไม่ไกลนัก มีรถรับส่งขึ้นไปบนดอย อาการเย็นสบายตลอดทั้งปี พอขึ้นมาบนยอดดอยม่อนหมอกตะวัน จะเรียงรายไปด้วยจุดชมวิว มองรอบทิศทางกับภูเขาสลับซับซ้อนไปจนถึงชายแดนเมียนมาร์เลยทีเดียว ทำให้คนพื้นถิ่นในพบพระและแม่สอดแวะเวียนขึ้นมาชมความงามของม่อนหมอกตะวัน กันเป็นประจำอย่างคึกคักแล้ว โดยเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์คนจะเยอะมาก และถ้ายิ่งหน้าหนาวแล้วด้วยจะเป็นช่วงHigh seasonของที่นี่เลยก็ได้
นอกจากความสวยงามของม่อนหมอกตะวันแล้ว หมู่บ้านป่าหวายยังมีน้ำตกที่สมบูรณ์ตามธรรมชาติที่อัดแน่นไปด้วยต้นยางยักษ์มีอายุกว่าร้อยปี ครอบคลุมพื้นที่น้ำตกป่าหวายตามชื่อหมู่บ้าน น้ำตกป่าหวายมีความสูงกว่าร้อยชั้น ต้องเดินลงไปข้างล่างและแหงนมองข้างบน จะเห็นน้ำตกลดหลั่นกันลงไป แต่ที่น่าอัศจรรย์ คือ น้ำตกแห่งนี้จะมาจุดหนึ่งของน้ำตกที่ไหลลงปล่องลึกที่กว้างไม่เท่าไรแต่จะไหลลงสู่รูนี้เหมือนน้ำตกลงรู แต่ไม่รู้เลยว่ารูนี้มีความลึกขนาดไหน
เราชมความงามทั้งยอดดอยม่อนหมอกตะวันและน้ำตกป่าหวาย ที่สามารถกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของอำเภอพบพระจังหวัดตาก จึงอยากให้ไปสัมผัสสักครั้งแล้วจะประทับใจกลับมา พบกับสิ่งมหัศจรรย์แห่งใหม่ที่ซ่อนเร้นในป่าใหญ่ ที่ไม่ไกล ให้เราต้องไปค้นหา และปักหมุดแห่งความสุขที่ได้มา
การเดินทาง ใช้ถนนหมายเลข 1090 จากตัวแม่สอด มุ่งหน้าสู่อำเภอพบพระ ขับเลยอช.น้ำตกพาเจริญ มาไม่ไกล ซ้ายมือ จะมีป้าย น้ำตกป่าหวาย ขับเข้ามาตามถนน ระยะทาง 13กิโลเมตร ถนนคอนกรีตตลอดทางจนถึง จุดกางเต็นท์ม่อนหมอกตะวัน รถทุกชนิดสามารถขึ้นมาได้
เรียบเรียงโดย นางสาวศิรินดา โชติศรีนิล
นักศึกษาฝึกงานระดับปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
ขอบคุณภาพจาก shutterstock
ขอบคุณทุกๆท่านที่ให้ความสนใจเข้ามาอ่านอย่างมากครับ
หากชอบบทความ หรือเห็นว่าเป็นประโยชน์ สามารถกดแชร์ ให้เพื่อนๆได้อ่านต่อด้วยนะครับ
สามารถติดตามเราได้ที่ Facebook www.facebook.com/greenlandholiday
หากสนใจเดินทางท่องเที่ยว หรือขอคำปรึกษาเกี่ยวกับทัวร์ในประเทศ
กรุณาติดต่อ โทร. 022949742
Line id : @greenlandtour